เป็นพระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๗สิงหาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถเห็นไหม ลงอุโบสถสังฆกรรม เราบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระแล้วสังฆะเป็นใหญ่ แล้วสังฆะเป็นใหญ่ สังฆะเป็นสงฆ์เห็นไหม ชุมชนของสงฆ์ แล้วชุมชนของสงฆ์เห็นไหม เราลงอุโบสถ ทำสามัคคีอุโบสถ เป็นความสามัคคีจากภายในขององค์กร ถ้าองค์กรนั้นเข้มแข็ง สิ่งที่องค์กรเข้มแข็งนี่มันมีน้ำใจต่อกัน มันมีน้ำใจต่อกันแล้วมันอบอุ่น แต่ถ้าไม่มีน้ำใจต่อกันมันหวาดระแวง ถ้าหวาดระแวงนะนี่พูดถึงสังคมสงฆ์
แต่เวลาเราบวชเป็นพระเห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านบวชพระ เวลาท่านบวชพระขึ้นมาแล้ว ท่านฝัน ท่านฝันว่าท่านบวชแล้วทำไมไม่เป็นพระ บวชแล้วเป็นเณร แล้วท่านก็ไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ตกใจ ตกใจแล้วมาทบทวนบวชเป็นพระ บวชแล้วไม่เป็นพระ หลวงปู่เสาร์ตกใจ ต้องทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำ บวชซ้ำเพราะว่าอะไร เพราะว่าสังฆาฏิมันไม่ได้สองชั้น หลวงปู่มั่นท่านบวชพระนะ แล้วท่านฝันเอง ว่าบวชพระได้เป็นแค่เณร ไม่ได้บวชเป็นพระ ท่านฝัน เพราะท่านฝันนะ ท่านเพิ่งบวชใหม่ๆ ท่านฝัน ท่านก็ไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์น่ะ ใช่ เพราะว่าวิบัติ ๔ มันเป็นบริขารวิบัติ พอเป็นบริขารวิบัติแล้วถึงได้ทำขึ้นมา ทำทัฬหีกรรมมาบวชซ้ำอีกทีหนึ่ง
บวชซ้ำอีกทีหนึ่ง เห็นไหม บวชพระ แต่ได้เป็นแค่เณร บวชพระแล้วได้เป็นแค่เณร ผู้ที่มีอำนาจวาสนานะ แล้วท่านก็ฝันของท่านเอง เพราะตอนนั้นท่านเพิ่งบวชใหม่ๆ ตอนบวชใหม่ๆ หมายความว่าท่านยังภาวนาไม่ได้ ถ้าท่านภาวนาไม่ได้ ท่านบวชแล้วเห็นไหม หลวงปู่เสาร์ท่านถึงพาออกประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ท่านถึงพาออกจากหมู่คณะ เวลาพาออกไปแล้ว เวลาไปธุดงค์กลับมา ในประวัติหลวงปู่เสาร์ เวลากลับมาแล้วเพื่อนมาเยี่ยมไง เวลาคุยกันๆ อาจารย์กับลูกศิษย์มุมมองต่างกัน ลูกศิษย์มาถึงก็มาเจอเพื่อนเจอฝูงก็ทักทายปราศรัย แต่อาจารย์ท่านเห็นอยู่แล้วนะ ไม่ปลอดภัย ไม่ปลอดภัย ท่านพาหนีเลยนะ พอออกธุดงค์ต่อเห็นไหม นี่พูดถึงการบวช
วันนี้วันอุโบสถ เราบวชเป็นพระแล้วเห็นไหม อุโบสถสังฆกรรม นี่สามีจิกรรม มันต้องเป็นพระร่วมกัน พระเสมอกัน มันถึงจะลงอุโบสถร่วมกันได้ ถ้าลงร่วมกันได้เห็นไหม นานาสังวาส สามเณร คฤหัสถ์เข้ามาในวงสังฆกรรมไม่ได้ ถ้าสังฆกรรมไม่ได้เห็นไหม นี่พูดถึงว่าการบวชพระ แต่เราเป็นพระหรือเปล่า ถ้าเราเป็นพระขึ้นมาเห็นไหม เราบวชมาแล้ว บวชโดยวินัย โดยสามีจิกรรม บวชโดยการกระทำความเป็นจริงขึ้นมา พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเห็นไหม เราก็มาประพฤติปฏิบัติ เราจะเป็นพระจริงๆ จากภายใน บวชพระแล้วได้เป็นพระ ถ้าบวชแล้วเป็นพระ เห็นไหม เราถือธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาธรรมวินัยขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดาของเราไง ถ้าเป็นเณรเห็นไหม ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเณร ได้ไตรสรณคมน์ถือเป็นเณร ขอศีลเป็นเณร
เวลาจะบวชเป็นพระขึ้นมา สงฆ์ยกเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์ยกเข้ามานี่บวชพระ บวชโดยสมมติ เป็นสมมติสงฆ์ๆ ขนาดเป็นสมมติสงฆ์นะ หลวงปู่มั่นท่านยังฝันเลย บวชพระแล้วไม่ได้เป็นพระ บวชพระแล้วเป็นสามเณร สามเณรแล้วทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำเข้ามา บวชซ้ำเข้ามาให้มันหายสงสัยไง ความสงสัยของบุคคลคนนั้น ถ้าความสงสัยในบุคคลคนนั้น ในใจของเรามันสงสัย ถ้ามันสงสัยขึ้นมาเห็นไหม เขาพยายามของเขา ทำคุณงามความดีของเขา ทำตามธรรมวินัยนั้น ถ้ามีครูมีอาจารย์ท่านพาการกระทำนั้นเป็นสามีจิกรรม คือความถูกต้องดีงาม
นี่เห็นไหม เราบวชเป็นพระแล้วเห็นไหม เรามาบวชเป็นพระ เราต้องมาบวชหัวใจของเรา บวชหัวใจของเราคือการประพฤติปฏิบัตินี่ไง เวลาภูมิใจของเราในการบวชเป็นพระแล้ว เห็นไหม ได้บวชเป็นพระด้วย เป็นพระปฏิบัติด้วย พระปฏิบัติด้วย เวลาเราระหกระเหิน เวลาเราธุดงค์ เวลาเราออกวิเวก เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเอาความจริงจากที่นี่ ถ้าเอาความจริงจากที่นี่เห็นไหม ถ้าความเป็นจริงมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฐิโก สันทิฐิโกคือว่าใจมันเป็นว่างั้นเถอะ ถ้าใจมันเป็นขึ้นมา มันก็เป็นพระจากภายในใช่ไหม
ถ้าใจมันยังไม่เป็นเห็นไหม ใจมันไม่เป็น เวลาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการไง ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก ถ้าการเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วยังแบ่งประเภทไป แบ่งประเภทไปโดยมนุสสเปโต มนุสสเดรัจฉาโน เห็นไหม เป็นมนุษย์เหมือนกัน ร่างกายเป็นมนุษย์นั้น แต่ความรู้สึกนึกคิดในใจมันทำให้สถานะของหัวใจมันเป็นอย่างนั้น สถานะทางหัวใจเห็นไหม เป็นมนุษย์เปรต มนุษย์ผี มนุษย์เทวดา มนุษย์พรหม ใจเป็นมนุษย์สิ่งใดก็ได้ นี่พูดถึงความเป็นมนุษย์เห็นไหม แต่นี้ถ้าความเป็นพระล่ะ ถ้าความเป็นพระมันหนักแน่นกว่านั้นอีกเยอะเลย เวลาประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมขึ้นมาเห็นไหม เวลามันฟุ้งมันซ่าน เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ใครๆ ก็รู้ได้ ความทุกข์ความยากในหัวใจ เวลากิเลสมันบีบคั้นขึ้นมามันยิ่งทุกข์ยากมากกว่านั้นนะ เวลากิเลสบีบคั้น
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาทำจิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วมันไปเห็นกิเลสไง เห็นกิเลสคือว่ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงไง ถ้าเห็นสติปัฎฐาน ๔ ตามความเป็นจริงมันจับต้องได้ คนเรานะ ดูเวลาคนทำงาน ทำงานแล้วมีผลงาน แล้วทำงานขึ้นมามันรู้สึกสนุกนะ ใจเราคนทำงานแล้วมันว่างเปล่า จับสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย จับสิ่งใดก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดหลุดไม้หลุดมือไป ไม่มีอะไรติดมือเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทำสิ่งนั้นมันท้อแท้ มันท้อแท้
แต่ถ้าเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มีอำนาจวาสนาบารมี จิตสงบ พอจิตสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม มันมีความสุขแล้ว มีการแสวงหา มีการกระทำ แล้วเวลามันน้อมไปๆ เห็นสภาวะตามความเป็นจริง เห็นสภาวะตามความเป็นจริง มันจับต้องของมัน มันสะเทือนกิเลสทั้งนั้น เวลากิเลสสิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านพูด กิเลสมันกลัวสิ่งใด กิเลสมันกลัวนี่กลัวธรรมะทั้งนั้น กิเลสไม่กลัวสิ่งใดเลย เวลากิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา กิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันล่อมันลวงเห็นไหม มันทำให้เราสับสน ทำให้เราสับสน เราเชื่อตามมันไปๆ มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติที่เรามันทุกข์มันยาก กิเลสมันพาให้ทุกข์ให้ยาก ไม่ใช่ธรรมะหรอก
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเรานั่งสมาธิภาวนาเห็นไหม เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลาจิตมันสงบ จิตมันลง โอ้โห มันมีความสุข เวลาที่มันเกิดเวทนา เกิดการกระวนกระวายในหัวใจ เวลาถ้าธรรมะมันปราบได้ ศีล สมาธิ ปัญญามันปราบกิเลสลง โอ้ มันเวิ้งว้าง มันมีความสุข เห็นไหม เวลาเป็นธรรมๆ เป็นธรรมมันมีแต่คุณงามความดี เป็นธรรมมันมีแต่คุณธรรมทั้งนั้น แต่ที่มันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะกิเลสไง มันทุกข์มันยากเพราะว่าความดิ้นรน เวลาเชื้อไฟมันแผดเผาไง เวลาที่มันปฏิบัติ มันยุ่งมันยาก มันทุกข์มันยากอยู่เนี่ยเพราะกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรม แต่ที่เป็นธรรมๆ ก็เวลาเราปฏิบัติไปแล้ว วิบากกรรมๆ เวลาผลมันลงแล้วเห็นไหม มันเวิ้งว้างไปหมด มันมีแต่ความสุข ความสงบ ความระงับไปทั้งนั้น
ถ้าความสงบความระงับขึ้นไป สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเพราะอะไร เกิดขึ้นมาเพราะความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มีการกระทำไง เห็นไหม สิ่งดีงามทั้งหมดมันมาจากไหน มันมาจากการกระทำทั้งนั้น มันมีแต่กรรม การกระทำนั้นกรรมดีกรรมชั่ว ถ้าทำคุณงามความดี ความดีทำที่ไหน ทำความดีก็ทำที่หัวใจนี่ไง หัวใจของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา นั่งเฉยๆ ดูสิ งานทางโลกเขาก็อาบเหงื่อต่างน้ำ เขาก็แบกหามของเขา เขาต้องลงทุนลงแรงของเขา ทำหน้าที่การงานของเขา เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา
แต่เวลาทำงานของพระ เวลาทำงานของพระ นั่งสมาธิภาวนา ทำข้อวัตรปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเรายังทำสิ่งใดยังไม่เสร็จ มันกังวลไปทั้งนั้น ทำข้อวัตรปฏิบัติเสร็จแล้วเราก็เร่งความเพียรของเรา ถ้าเร่งความเพียรของเรา การกระทำในหัวใจของเราเห็นไหม สิ่งที่งานมันละเอียดเห็นไหม สิ่งที่การกระทำ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเรา เราทำความเป็นจริงของเรา ทำความเป็นจริงของเราแล้วกิเลสมันดิ้นรนล่ะ ถ้ากิเลสมันดิ้นรน มันทุกข์มันยากเห็นไหม ที่มันทุกข์มันยากเพราะกิเลสมันดิ้นรนทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมก็มีสติไง สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ถ้าเป็นธรรมขึ้นมามันจะปราบกิเลสไง ถ้าปราบกิเลส กิเลสที่มันโดนสัจจะ โดนความจริงในอริยสัจกระหน่ำเอาเห็นไหม มันต้องถดถอยไป พอมันถดถอยไป มันมีพื้นที่ให้เรา มันมีหัวใจที่มันมั่นคงขึ้นมาเห็นไหม มันมีความสุขขึ้นมาๆ แล้วความสุขที่นี่ นี่ไงเวลาหลวงปู่มั่นท่านบวชพระ เป็นพระไหม เวลาบวชขึ้นมาท่านฝันเองว่าท่านไม่ได้เป็นพระ พอไม่ได้เป็นพระขึ้นมาไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ก็แก้ไขขึ้นมาเห็นไหม ทำทัฬหีกรรมบวชขึ้นมาเป็นพระ เป็นพระขึ้นมามันก็สมบูรณ์ทางโลก สมบูรณ์ทางธรรมวินัย ธรรมวินัยมันแก้ไขได้ทั้งนั้น
แต่เวลาเราจะบวชหัวใจของเราไง เราจะบวชพระด้วยตัวของเราไง ถ้าบวชพระในตัวของเรา สิ่งที่เป็นคุณธรรมในหัวใจนี้เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาแสดงธรรมจักรขึ้นไป พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มีดวงตาเห็นธรรม หัวใจของเราที่เรามาบวชกันนี่ เราก็มาประพฤติปฏิบัติธรรมอันนี้ไง ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมอันนี้ นี่ไง ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบไง ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากึ่งพุทธกาลจะเจริญอีกหนหนึ่งไง เวลามันเจริญ เจริญที่ไหน มันเจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก่อน พอเจริญในใจหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เจริญที่ไหน เราดูความเจริญสิ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติแค่ไหน ท่านดิ้นรนมาขนาดไหน มันถึงเจริญขึ้นมาในใจของท่าน เวลามันเจริญขึ้นมาในใจของท่านเห็นไหม ท่านประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเห็นนะ เวลามันเห็นนิมิตเห็นต่างๆ ขึ้นมา เอามาทบทวนๆ เราจะเดินไปทางไหน เราจะแก้ไขอย่างใด เราพยายามทดสอบในหัวใจของเรา
บวชพระๆ เป็นพระหรือไม่เป็นพระ มันเป็นอยู่ที่วินัยกรรม มันอยู่ในอุโบสถเห็นไหม พอมาบวชเป็นพระขึ้นมา บวชขึ้นมาแล้วเป็นสมมติสงฆ์ เวลาบวชหัวใจๆ มันต้องมีการกระทำ ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมาแล้ว ถ้าครูบาอาจารย์ท่านทำท่านมาแล้ว มันอบอุ่นนะ ยังไงมันก็มีคนชี้นำไง แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ในปัจจุบันนี้ ก่อนที่จะเป็นครูบาอาจารย์เรามา ท่านต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านไปปรึกษาใคร ถ้ามันปรึกษาใครไม่ได้มันก็ต้องเปิดพระไตรปิฎกใช่ไหม มันปรึกษาใครไม่ได้มันก็ต้องเปิดตำรับตำราใช่ไหม เวลาเปิดตำรับตำราขึ้นมา เวลาเราศึกษาก็เหมือนทางโลกปัจจุบันนี้ ในทางภาคปริยัติที่ได้ศึกษากัน ศึกษาทางวิชาการ ศึกษาทางวิชาการเวลาสอบขึ้นมาก็ตั้งคณะกรรมการให้คะแนน ตรวจสอบว่ามันถูกหรือผิด เวลาจะสอบบาลีกันเห็นไหม เขาก็ตรวจสอบกันอย่างนั้น
แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาปฏิบัติของท่าน ท่านรู้ท่านเห็นของท่าน ท่านให้ใครตัดสิน ความเห็นเราก็มี นี่ไงเวลาหลวงตาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านบอกขึ้นไปด้วยความเคารพนะ พอขึ้นไปด้วยความเคารพแต่ของเราก็มีอยู่ๆ เวลาจิตมันสงบมันรู้ไง เวลาจิตมันไม่สงบมันก็ฟุ้งซ่านไง เวลาไปรู้เห็นสิ่งใด เวลากิเลสมันปลิ้นปล้อนขึ้นมา มันหลอกลวงขึ้นมาก็เชื่อมันไง แล้วเรามีครูบาอาจารย์ ได้ฟังมาเต็มหู ได้เห็นการกระทำของท่านตลอด มันก็ไปเสริมให้กิเลสมันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกไง ของเราก็มี คำว่าของเราก็มีคือปฏิบัติแล้วมันก็มีประสบการณ์ มันก็มีเห็นไหม มันมีความรู้ความเห็นในหัวใจ ถ้ามันมีความรู้ความเห็นในหัวใจ มันก็มั่นใจตัวเองใช่ไหม
ถ้าเราทำสิ่งใดเราไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งใดเลย เราก็ว่างเปล่า แต่คนถ้ามีความรู้ความเห็นสิ่งใด เห็นไหม ความรู้ความเห็นสิ่งใดแต่ในเมื่อเรายังมีกิเลสอยู่ ในเมื่อประสบการณ์เราไม่รอบคอบเห็นไหม เวลาขึ้นไปหาท่าน ขึ้นไปหาด้วยความเคารพ พอขึ้นไปหาด้วยความเคารพ ก็เล่าของท่านให้หลวงปู่มั่นฟังก่อน เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านตัดสินอย่างใด พอตัดสินยังไง ตัดสินยังไง ตัดสินหมายความว่าชี้ว่าถูกหรือผิด เห็นไหม ว่าถูกหรือผิด ตัวเองก็มียังว่าตัวเองก็มีความเห็นของตน ตัวเองก็ต้องคัดค้านว่างั้นเลย ท่านคัดค้านในความเห็นของตนใช่ไหม แต่เวลาถึงแล้วเหตุผลสู้ไม่ได้ เห็นไหม เวลาเหตุผลสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับ ยอมรับความจริงอันนั้น นี่เวลาหลวงปู่มั่นท่านชี้นำๆ
เรามีครูบาอาจารย์อยู่อย่างนี้ เวลาเราปฏิบัติไป ความรู้ความเห็นของเรา เราต้องคัดแยก ความเห็นของเรามันจะเป็นจริงตลอดไปเลยได้ยังไง ถ้าความเห็นของเราไม่เป็นจริงเห็นไหม จะบวชหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันจะบวช มันบวชอย่างนี้ มันมีการกระทำของเราอย่างนี้ ถ้ามันมีการกระทำมีความจริงของเราขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามีการกระทำขึ้นมา บวชพระแล้วเป็นพระหรือไม่
เวลาหลวงปู่มั่นท่านบวชแล้วเห็นไหม ท่านฝันของท่าน ท่านมีความเห็นของท่าน แต่ท่านแก้ไขของท่านจนท่านเป็นพระจากภายนอก เป็นพระจากภายนอกคือสมบูรณ์ทางธรรมวินัย ถ้าสมบูรณ์ทางธรรมวินัยแล้ว ท่านก็ระหกระเหินนะ ระหกระเหินในการประพฤติปฏิบัติ ระหกระเหินในการทำความเป็นจริงในใจขึ้นมา แล้วทำความเป็นจริงในใจขึ้นมา แล้วท่านปรึกษาใครล่ะ ท่านต้องค้นคว้าเอง ท่านมีอำนาจวาสนาของท่านเอง แต่นี้ท่านประสบความสำเร็จ ท่านทำของท่านได้เห็นไหม พอทำของท่านได้มันก็เป็นความสุขของท่าน เป็นผลงานของท่าน เป็นผลงานของท่าน เป็นสมบัติของท่าน
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง "อานนท์ เราไม่เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาแต่ของเราไปๆ" ของเราคือของท่าน ของท่านก็ทำของท่านมา ท่านก็ต้องเสวยวิมุตติสุข ท่านมีความสุขในใจของท่าน ท่านมีความสุขในใจของท่านเห็นไหม นี่ที่ว่าความสุขๆ ที่โลกเขาแสวงหากัน โลกแสวงหา หาความสุขนะ ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน แต่ความสุขที่แท้จริงเห็นไหม เขาก็ทำบุญกุศลของเขา เขาก็สร้างคุณงามความดีของเขาเพราะอะไร เพราะอาศัยความดีนั้นเป็นเครื่องดำเนินไปในชีวิตนั้น แล้วชีวิตนั้นมันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ประสบความสำเร็จนั่นเป็นอำนาจวาสนาของเขา นี่เห็นไหม ทางโลกเขาแสวงหากัน นี่ความสุขของเขา
เราบวชเป็นพระ เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระนะ บวชเป็นพระเพราะว่าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา ถ้าอยู่ทางโลกเห็นไหม ระหกระเหินอย่างนั้น มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดมาเป็นมนุษย์มีบุญวาสนาได้ความเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ในชีวิตของความเป็นมนุษย์มันก็มีความทุกข์ความยาก เราได้ถึงสรณะของความเป็นมนุษย์นั้นมา เป็นคฤหัสถ์แล้วเรามาบวชเป็นพระ เป็นพระก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่เป็นพระ
ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว สมบูรณ์ในความเป็นพระแล้ว เราต้องภูมิใจในตัวของเราไง ภูมิใจในตัวของเราเพราะ เพราะมันมีธรรม มีศาสนา มีศาสนามั่นคงในประเทศไทย ในประเทศไทยเป็นประเทศของชาวพุทธไง พอเป็นชาวพุทธขึ้นมา เรามีโอกาส เราจะบอกว่าที่เราควรภูมิใจเพราะเรามีโอกาสนะ มีโอกาสแล้ว เราได้โอกาสนี้มาแล้ว เราบวชเป็นพระมาโดยสมบูรณ์ทางโลกแล้ว ถ้าสมบูรณ์ทางโลกแล้วเห็นไหม สมบูรณ์ทางโลกแล้วในหัวใจของเราล่ะ
เอาความจริงขึ้นมาสิ ถ้าเอาความจริงขึ้นมามันเป็นคุณธรรมจริงๆ นะ มันเป็นเนื้อหาสาระเป็นข้อเท็จจริงเลย ถ้าจะให้มันเป็น ดูเวลาเป็นสมาธิเห็นไหม เวลาทำสมาธิผู้คนพอทำกันได้เห็นไหม เวลามันสุขมันสงบ แต่มันชั่วคราวๆ เพราะในข้อเท็จจริงมันเป็นอนิจจัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา เป็นสมาธิมันก็เป็นสมาธิอยู่ชั่วคราว เป็นสมาธิชั่วคราวแต่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ถึงข้อวัตรปฏิบัติในเครื่องอยู่ๆ เครื่องอยู่คือการดำรงรักษาไง เวลาทำสมาธิขึ้นมามันก็แสนยาก แต่เวลามันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว เราจะรักษาสมาธิให้มันต่อเนื่องๆ คำว่าต่อเนื่องให้มันเข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมาเห็นไหม เข้มแข็งจนจิตมันมีกำลังๆ เห็นไหม เราถึงน้อมไปๆ น้อมไปให้มันเห็น ถ้าจิตมันสงบระงับแล้วทำสิ่งใดมันก็สดชื่น มันทำสิ่งใดได้ มันมีโอกาสของมันไง
แต่ที่มันทุกข์มันยากขึ้นไป ตัวเองมันก็มีทุกข์มียากอยู่แล้ว พอทุกข์ยากอยู่แล้ว เหมือนเด็กน้อย เด็กน้อยจะทำงานจะยกของหนัก มันยกไม่ได้หรอก จิตก็เหมือนกัน จิตไม่ใช่ว่าจิตมันเหมือนเด็กน้อยเลย แล้วจิตที่ยังไม่ได้สมาธิ มันเป็นวุ้นเลย มันไม่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเลย ถ้ามันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เห็นไหม มันก็สงบระงับ มันก็ตั้งมั่นของมัน พอตั้งมั่นของมัน เราก็ดำรงรักษา ดำรงรักษาด้วยสติปัญญาของเรา ด้วยสติปัญญานะ
คนเขาจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ คนเราจะทำหน้าที่การงานอย่างใดแล้วแต่ มันก็ต้องมีความตั้งใจ มีการกระทำทั้งนั้น หน้าที่การงาน แต่การประพฤติปฏิบัติมันเป็นงานภายใน งานของหัวใจ งานที่เป็นนามธรรม งานที่ใครจะจับต้องได้ วุฒิภาวะของคนสูงต่ำขนาดไหน สูงต่ำขนาดไหนมันก็เห็นแต่ผลงานทางวัตถุทางโลก
ถ้าเห็นผลงานทางหัวใจเห็นไหม ถ้าเห็นผลงานทางหัวใจ เรามีน้ำใจต่อเขาทั้งนั้น แล้วเห็นคุณค่าด้วยนะ มันเห็นคุณค่า เราจะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันต้องมีโอกาส มีเวลา แล้วมีบุคคลที่เขารับผิดชอบหน้าที่ของเรา เขาช่วยดูแลให้ แล้วเราอยู่ในสังฆะสังคม เห็นไหม ดูสิ สังคมของสงฆ์ สังคมของสงฆ์ สิ่งใดที่เป็นของของสงฆ์ สิ่งใดที่ต้องช่วยกันดูแลรักษา มันเป็นสมบัติของศาสนา แล้วเราบวชมาในศาสนา เราบวชในศาสนา อารามิกชนอยู่ในอาวาส อยู่ในอาราม อยู่ในอาราม แล้วก็ช่วยดูแลรักษาให้มีโอกาสเราได้ภาวนา ถ้าเราได้ภาวนา เรามีโอกาสเห็นไหม
เนี่ยโอกาสในการบวชเป็นพระ โอกาสเกิดในประเทศไทย ในประเทศไทยประเทศแห่งชาวพุทธ ชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสิ่งที่ขับเคลื่อนพุทธศาสนาคือพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่จะเป็นตัวจักรที่มีคุณภาพ ถ้ามีคุณภาพเขาต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้หัวใจของเขามีคุณธรรม ถ้าหัวใจเขามีคุณธรรม สิ่งที่มันออกมาจากสิ่งที่เป็นคุณธรรมอันนั้นเห็นไหม มันเป็นธรรม
แต่สิ่งที่มันออกมาจากหัวใจที่มันไม่มีคุณภาพ หัวใจที่เป็นเปรตเป็นผีไง เห็นไหม เวลาสังคมสงฆ์ สังคมของชาวพุทธไง เคารพผ้าเหลืองๆ ยกมือไหว้พระๆ แต่ในหัวใจมันก็ติเตียนไง เพราะมันไว้ใจกันไม่ได้ไง ถ้าไว้ใจกันไม่ได้เห็นไหม ในเมืองไทยนับถือพุทธศาสนา พุทธศาสนาขับเคลื่อนไปด้วยพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่มาฝึกหัด พระสงฆ์ที่เกิดมาเห็นไหม ก็ดูสิเวลาบวชมาใหม่ มันก็เหมือนทางโลก ทางโลกนะ เวลาในครอบครัวเขามีลูกมีหลาน เขาฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ให้มีคุณภาพขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน พระบวชใหม่ๆ นวกะ เวลาบวชขึ้นไปแล้ว ห้าพรรษา สิบพรรษาขึ้นไปเห็นไหม ห้าพรรษาสิบพรรษาขึ้นไปด้วยกาลด้วยเวลาไง เห็นไหมเราบวชไปแล้ว ถ้าเรามีอายุพรรษามากขึ้นเราก็เป็นอาวุโสต่อไปข้างหน้าแน่นอน แต่คุณภาพของมัน คุณภาพของมันที่เราจะสื่อสารที่เราจะคุ้มครองดูแลไง คุ้มครองดูแลใคร คุ้มครองดูแลหัวใจของเราก่อน คุ้มครองดูแลตัวเรานี่แหละ ถ้าคุ้มครองตัวเรานี่แหละ ตัวเรามีคุณธรรม ตัวเรามีศีลมีธรรมขึ้นมาเห็นไหม เขาเคารพนับถือ เขาเชื่อฟังเอง แต่ถ้าของเราๆ ไม่มีจุดยืน เราไม่มีคุณธรรมสิ่งใดเลย เราเองเราไว้ใจตัวเราไม่ได้เลย เราเองเรายังรักษาตัวเราไม่ได้เลย แล้วใครเขาจะเชื่อถือศรัทธาล่ะ
นี่ไงเวลาขับเคลื่อนไปๆ ขับเคลื่อนไปด้วยภิกษุด้วยสงฆ์ไง ด้วยสงฆ์ สงฆ์ต้องมีคุณภาพไง คุณภาพสงฆ์มันมาจากไหน คุณภาพสงฆ์ก็มาจากการฝึกหัด การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง บวชหัวใจนี่ไง เห็นไหม หน้าที่ของเราไง เราบวชเป็นพระขึ้นมานี่สมมติสงฆ์ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามีมรรคมีผลขึ้นมา นั่นน่ะตบะธรรม ตบะธรรมมันแผดเผา มันหล่อหลอม หล่อหลอมหัวใจของเราไง
ถ้าหล่อหลอมหัวใจ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นมา ท่านผ่านการผจญภัยของท่านมา ผจญภัย ผจญภัยกับใคร ผจญภัยทางโลก ผจญภัยกับสังคม สังคมนี่แหละ สังคมสงฆ์นี่แหละ สังคมโลกนี่แหละ ความเป็นอยู่ของเราเห็นไหม ถ้ามันทำสิ่งใด เขาชอบเขาไม่ชอบ มันมีร้อยแปด เผชิญมากับภาวะสังคม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเผชิญกับกิเลส มรรคผลมีหรือไม่มี เวลาปฏิบัติไปแล้ว หมดกาลหมดสมัย คำพูดนี่ คำพูดที่เจาะ ที่คอยเจาะคอยทำให้เสื่อมให้ถดถอยตลอด มรรคผลหมดกาลหมดเวลา เราปฏิบัติไปแล้วมันจะไม่ได้ผล ปฏิบัติจะเสียเปล่า ปฏิบัติเสียเปล่า
แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาทั้งชีวิต เวลาอาจารย์สิงห์ทองครูบาอาจารย์ท่านเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนมันเสียเปล่าเหรอ มันเสียเปล่าเพราะโมฆบุรุษสิ มันเสียเปล่าเพราะเราทำไม่ได้ มันเสียเปล่าเพราะเราไม่มีคุณภาพ มันเสียเปล่าเพราะใจเราไม่จริง ถ้าใจมันจริง มันจริงขึ้นมา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนามันจะเสียเปล่าที่ไหน ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณที่เราเคารพบูชา ไปดูประวัติท่านสิ ท่านสนใจอะไร ท่านสนใจทางจงกรม ท่านสนใจแต่เวลาไปอยู่ที่ไหนท่านมองก่อนแล้ว ที่ไหนจะเป็นที่นั่งสมาธิได้ โคนต้นไม้ที่ไหน ที่ไหนมันจะเป็นทางจงกรม ที่ไหน ไปดูไว้ก่อนเลย เวลาโพล้เพล้เวลาพลบค่ำไปแล้ว เวลากลางวันก็หลบหลีกเอา
นี่ไงมันเสียเปล่าตรงไหน ไอ้คำว่าเสียเปล่าๆ ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ได้อะไรเลย พอไม่ได้อะไรเลยมันก็เที่ยวทิ่มเที่ยวตำ ปฏิบัติแล้วเสียเปล่า ปฏิบัติแล้วไม่ได้ ปฏิบัติแล้วเสียเวลา บวชมาแล้วต้องขวนขวาย ต้องมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณกับทางโลก หามวลชน มวลชนมันมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวเขาก็ตายก่อน เราไม่ตาย เขาก็ตายจากกันทั้งนั้น
แต่เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรานี่สำคัญ ความสำคัญไง นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันเกิดที่ เห็นไหม นี่บวชพระ บวชพระจากภายใน บวชพระของเรา เวลาเราบวชพระ เรามีอุปัชฌาย์อาจารย์บวชเป็นพระขึ้นมา บวชเป็นพระขึ้นมา สมบูรณ์ตามธรรมวินัย สมบูรณ์ตามธรรมวินัยเราลงอุโบสถกันอยู่นี่ไง เราทำอะไรสิ่งใดด้วยความเป็นข้อเท็จจริงไง
แต่เวลาเราบวชพระๆ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฐิโก เป็นภายในของเราคนเดียว เป็นภายในของเราคนเดียว แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านรู้เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นคุณธรรมนะ แหม มันมีน้ำใจต่อกันนะ มันเอื้ออาทรทั้งนั้น เวลาคนที่เป็นธรรมๆ ดูเช่นเจ้าคุณจูมฯ เห็นไหม เราไม่อยากหรอกเป็นเจ้าคณะภาคเนี่ย เราเป็นไว้เพื่อคุ้มครองดูแล ไม่ให้เขามารังแกพระป่า พระป่าพระปฏิบัติมันไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ มันปฏิบัติของมัน มันเหมือนกับชาวไร่ชาวนา บ้านนอกคอกนาคนหนึ่ง เขาทำหน้าที่การงานของเขาคนหนึ่ง แล้วมันมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอไปคอยเรียกควักผลประโยชน์เห็นไหม คุ้มครองดูแลๆ อย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน พระเรา พระปฏิบัติ มันไม่มีอะไรหรอก มีแต่ความเป็นพระ มีใบสุทธิใบหนึ่งว่าบวชถูกต้อง ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วก็ธุดงค์พยายามค้นคว้าหาความจริงของเรามา ไปที่ไหนเห็นไหม คนที่เขาไม่นับหน้าถือตา เขาไม่เชิดชูบูชา เขาก็ดูถูกดูแคลน ดูด้วยสายตา ด้วยชายตา ไอ้นั่นเรื่องของเขา เราไม่เดือดร้อน เพราะเราเริ่มต้นมาจากจิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่ยิ่งใหญ่จะบวชหัวใจของเรา เราได้บวชจากครูบาอาจารย์มาแล้ว สาธุ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บวชมาแล้ว เรามีอุปัชฌาย์อาจารย์นะ อาจาริยวัตร อาคันตุกวัตร เรามีวัตรปฏิบัติ เราเคารพบูชา เห็นไหม
เวลาคนในชาวพุทธเห็นไหม เขามีพ่อมีแม่ เขาดูแลพ่อแม่เขาด้วยความกตัญญูกตเวที แล้วเขายังมีอุปัชฌาย์อาจารย์ของเขา เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่แล้วจะได้บวชได้เรียน ได้บวชแล้วเขาจะนึกถึงอุปัชฌาย์ของเขา ถ้าอุปัชฌาย์ของเขาเป็นอุปัชฌาย์ที่เป็นอุปัชฌาย์ด้วยความสมบูรณ์ เห็นไหม แต่ถ้าคนบวชแล้ว บวชไปแล้วเข้าไปในสังคมสงฆ์ แล้วไปเห็นความเหลวแหลกขึ้นมา เขาก็คัดค้านไว้ในใจ เขาไม่รับ เขาก็เหมือนกับมีพ่อมีแม่เฉยๆ แต่ครูบาอาจารย์เขา เขาก็วางไว้ มันไม่ซาบซึ้งหัวใจไง ไม่ดึงดูดหัวใจ
แต่ถ้ามันดึงดูดหัวใจ นี่สังคมไทย สังคมไทยเห็นไหม มีพ่อมีแม่ มีอุปัชฌาย์ เวลามีอุปัชฌาย์มีสิ่งใด เราช่วยเหลือเจือจานไปหมด นี่พูดถึงสังคมชาวพุทธไง ฉะนั้นนี่เราบวชมาถูกต้องตามกฎหมาย บวชถูกต้องตามธรรมวินัย บวชตามธรรมวินัยแล้วเรามีโอกาส มีโอกาสเสร็จแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติในสังคมสงฆ์ในประเทศไทยเราเห็นไหม มันมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ดำเนินเป็นแนวทางมา มันถึงมีโอกาสอย่างนี้ไง ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ดำเนินมา ไม่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่มีครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ไม่มีร่องมีรอยให้เราเดินตาม
ไปเถอะ มันก็เหมือนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนั่นแหละ ออกมาใหม่ๆ ทุกคนมีแต่ต่อต้านทั้งนั้น ปฏิบัติที่ไหนมีแต่คนไม่สนใจ ไม่มีคนสนใจ ไม่มีคนดูแล ไอ้สนใจดูแลนี่ไม่ว่าหรอก แต่ไอ้กีดกันไอ้ทำลายนั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ไอ้ไม่สนใจไม่ดูแล นั่นมันเรื่องของเขา มันสิทธิของเขา เราจะไปเรียกร้องเอาอะไร แต่ไอ้กีดกันทำลายนั่นน่ะ ไอ้นั่นเรื่องติฉินนินทาทางโลก โลกธรรม ๘ เวลาครูบาอาจารย์ท่านมาเป็นอย่างนั้น แต่ แต่เราเกิดมาท่ามกลางที่ครูบาอาจารย์ท่านทำแนวทางไว้แล้ว เราถึงมีโอกาสได้สะดวกมากกว่านั้น ถ้าสะดวกมากกว่านั้นเพราะอะไร เพราะเขาจะทำสิ่งใด มันก็อื้ม อาจารย์เขาทำดีนะ อาจารย์เขาถูกต้องนะ ถ้าอาจารย์เขาถูกต้อง ก็ดูเขาก่อนๆ
เห็นไหม มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นเลย เราบวชมาแล้วเรามีโอกาสมหาศาลเลย เรามีโอกาสมหาศาลทำไมเราไม่ภูมิใจ ถ้ามันภูมิใจขึ้นมาแล้วมันทำให้เราตื่นตัว ทำให้เราจะบวชหัวใจของเราไง บวชพระๆ ไม่เป็นพระ พระภายนอกได้เป็นพระมาแล้ว ได้ใบสุทธิมาแล้วคนละใบ สมบูรณ์ตามกฎหมายเลย แต่หัวใจล่ะ แต่ความเป็นจริงในใจล่ะ เห็นไหม นี่ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำตรงนี้ไง ตอกย้ำหัวใจนี้ ให้หัวใจมันเบิกบาน ให้หัวใจมันแจ่มแจ้ง ให้หัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา มันเข้มแข็งขึ้นมาแล้วการกระทำ พอมันเข้มแข็งขึ้นมาคือน้ำใจ
คนมีน้ำใจเห็นไหม คนจิตใจที่กล้าหาญ จิตใจที่เข้มแข็งนะ เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จไง คนที่จิตใจอ่อนแอ คนที่จิตใจไม่กล้าจะเผชิญสิ่งใดเลย ทำสิ่งใดมันไม่มีอะไรจะประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา แล้วเป็นชิ้นเป็นอันมันเป็นที่ไหน ในทางตำรับตำรา ในการศึกษาเราก็ชื่อมันเท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญาๆ เวลามันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริง สติ โอ้โฮ สุดยอด วันนี้สติดีมาก วันนี้กิเลสไม่มีอำนาจเหนือหัวใจนี้เลย โอ๋ว่าพุทโธๆ ถ้ามันสงบเข้ามา อื้ม นี่ไง รสของธรรมชนะรสทั้งปวงไง นี่ไง ศาสนาเรามีมรรคมีผลไง ศาสนาเรามีคุณธรรมไง ศาสนาเราไม่ว่างเปล่านะ
แล้วเวลาศาสนานี้ไม่ว่างเปล่า เห็นไหม ดูสิ เวลาสร้างวัดสร้างวาขึ้นมานะ ทุกอย่างเพียบพร้อมไปหมดเลย แล้วพระอยู่ในวัดข้อวัตรก็ไม่ทำ สิ่งใดก็ไม่ทำ ไม่มีสิ่งใด ไม่ศาสนาข้อเท็จจริงไม่เห็นมีเลย ไอ้ของเราเห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจมันมีข้อเท็จจริงขึ้นมาเห็นไหม ศาสนามันไม่ว่างเปล่าไง
ถ้าศาสนาไม่ว่างเปล่าขึ้นมา ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำของท่านขึ้นมา มีเทวดาอินทร์พรหมมาฟังเทศน์ ไม่ใช่สอนเฉพาะมนุษย์เรา ไม่ใช่สอนพระเรานะ สอนเทวดาอินทร์พรหมอีกต่างหาก แล้วในตำรับตำราในพระไตรปิฎกเยอะแยะไปหมด ในเรื่องเทวดามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทวดามาเรื่องวินัยต่างๆ มีไปหมด เยอะแยะไปหมด ถ้ามันเป็นจริงมันจะมีประสบการณ์อย่างนั้น มันจะเป็นความจริงอย่างนั้น มันยิ่งสาธุๆ มันยิ่งเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นคุณค่าในสัจธรรม เห็นคุณค่าในเรื่องศาสนาว่ามันมีข้อเท็จจริง มันมีมูลค่าจริง มันมีความเป็นจริง แล้วความเป็นจริง มันเป็นจริงที่หัวใจไง มันไม่ใช่มืดบอดแบบเรานี่
มันมืดมันบอดๆ มันยังไม่ก้าวหน้าไม่ก้าวเดินไง ความเป็นอยู่ทางโลกวางไว้ ไม่สำคัญ สำคัญว่ามีโอกาสหรือไม่ โอกาสของเราดูสิ ไม่ใช่ว่าเรามาปฏิบัติแล้ว เราทำงานจบแล้วก็คือจบแล้ว ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาตลอด พุทธกิจ ๕ เช้าขึ้นมาเล็งญาณ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านตลอด ถ้าครูบาอาจารย์ของเราแล้ว ท่านไม่ทิ้ง ท่านทิ้งสิ่งนี้ไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ วิหารธรรมๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
เราเนี่ยเตือนตัวเองไว้ เวลาถึงเวลาแล้วเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนามันจะผ่อนคลาย หัวใจมันไม่ตึงเครียด ร่างกายก็สมบูรณ์ ทุกอย่างก็พร้อม นี่ไงๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง พุทธศาสนาสิ่งที่ขับเคลื่อนศาสนาคือพระภิกษุ เพราะพระภิกษุเห็นไหม ดูความกระฉับกระเฉง ด้วยความว่องไว ด้วยสติแพรวพราว นี่ไง ถ้าเราทำของเรา มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ใช่เรือเกลือ บวชมาแล้วก็เหมือนเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง ตั้งไว้ว่าเป็นพระ แล้วเป็นพระก็เป็นพระเหมือนกับตุ๊กตา ไม่มีหัวใจไม่มีจิตใจเลยเหรอ มันต้องมีหัวใจสิ มีหัวใจ มีจิตใจ มีความรู้สึก
มีความรู้สึก มีความรู้สึกมันต้องก้าวเดินไง บริหาร บริหารร่างกาย บริหารจิตใจ ความเพียรมันต้องมีของมันตลอดเวลา ในทางการศึกษา เขาศึกษาเห็นไหม เวลาศึกษาเขาเรียนกันด้วยหัวปักหัวปำจนเขาจบการศึกษา จบการศึกษาแล้วก็ทำงานของเขา เขาเผยแผ่ของเขา เขาก็เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ ไอ้ของเราเห็นไหม เราจะทำงานของเราด้วยกรรมฐาน กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ด้วยคำบริกรรมของเราเห็นไหม แล้วทำของเรา ถ้ามันถึงที่สุดแห่งทุกข์นั่นก็จบ ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เราก็พยายามของเรา เราก็ขวนขวายของเรา เราก็ทำของเราขึ้นมา
ไอ้งานของเรางานไม่จบไม่สิ้น ไม่จบไม่สิ้นเพราะมันงานล้างภพล้างชาติ ไม่ใช่งานเอาประกาศนียบัตร ไม่ใช่งานที่ว่าเขาว่าใครมีปัญญาไม่มีปัญญา มีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม ท่องจำกันมา แล้วศึกษาขึ้นมาทางวิชาการ แล้วก็ตอบปัญหา ตอบปัญหาก็คือจบ ตอบปัญหาคนอื่นเขาฟังแล้วมันแก้ไขปัญหาความข้องใจของเขา แต่ไอ้ความข้องใจของเราล่ะ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่ไม่รู้ไม่เห็นนี้ล่ะ ใครจะแก้ไขมัน ถ้าจะแก้ไขมัน เราต้องแก้ไขของเราเองไง
ถ้าแก้ไขของเราเองเห็นไหม มันมีความรู้ มันมีความรู้ในหัวใจ มันมีภูมิในใจตลอดเวลา เห็นไหม มันเป็นพระ พุทธศาสนาจะขับเคลื่อนไปด้วยภิกษุสงฆ์ ถ้าภิกษุสงฆ์มีคุณธรรม มีคุณธรรมขึ้นมา มีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม มันจะขับเคลื่อนไง ขับเคลื่อนขับเคลื่อนหัวใจของเราก่อน ขับเคลื่อนหัวใจเราให้กิเลสมันตามไม่ทัน ขับเคลื่อนจนกิเลสมันตายไปจากหัวใจนี้ ถ้ากิเลสมันตายไปจากหัวใจนี้ หัวใจนี้ผ่องแผ้ว หัวใจนี้ผ่องแผ้วนี้เป็นประโยชน์
แล้วเป็นประโยชน์ แต่นี้มาสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไง ถามมาสิ ถามมา เวลาแก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะๆ แล้วถ้าผู้เฒ่าจะแก้จะแก้ตรงไหน จะแก้จิตไหน จิตมันไม่มีให้แก้ เพราะจิตมันไม่เอาถ่าน ถ้ามันเอาถ่านขึ้นมา มันทำงานของมันเห็นไหม เวลาเอาถ่านนะ จุดไฟมันไม่ติด ไม่ติดเพราะอะไรล่ะ ไม่ติดเพราะถ่านมันเปียก เพราะถ่านมันชุ่มชื้น ปล่อยตากแห้งมันก่อนไง เวลาจุดแล้วถ่านมันไม่ติด ไม่ติดมันก็พัดไฟเข้าซิ เห็นไหม ถ้ามันเอาถ่าน ถ้าเอาถ่านครูบาอาจารย์ท่านจะแก้อย่างนั้น ถ้าแก้อย่างนั้นมันก็เป็นนี่บวชพระ
บวชพระให้มันเป็นพระขึ้นมาจากข้างนอกด้วย แล้วเป็นพระขึ้นมาจากข้างใน ถ้าเป็นพระจากข้างใน นี่ไงนี่ศาสนาพุทธเราขับเคลื่อนด้วยภิกษุ ภิกษุเห็นไหม เวลาสมณะ สมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง สมณะที่สาม สมณะที่สี่ การได้เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต ไอ้ของเรา เราประพฤติขึ้นมาให้เป็นสมณะจากหัวใจของเรา เป็นมงคลยิ่งกว่ามงคลในหัวใจของเรา ในหัวใจเราเป็นมงคลซะเอง
เวลาทางโลกเห็นไหม เขาต้องการมงคลชีวิต ทำบุญกุศลเพื่อมงคล เพื่อคุณงามความดี ถ้าเพื่อคุณงามความดีก็เป็นบาทเป็นฐานของเขา ของเราเราก็เป็นอย่างนั้นมาก่อนเห็นไหม เราก็มีบาทมีฐานมา เราถึงได้เสียสละมาไง เสียสละความเป็นฆราวาส เสียสละการดำรงชีพแบบฆราวาสมาดำรงชีพแบบพระๆ บวชพระแล้วเป็นพระหรือไม่ ถ้าเป็นพระขึ้นมา เราจะเป็นจากภายในของเรา ถ้าเป็นจากความจริงภายในของเราเห็นไหม มันต้องมีการกระทำแบบนี้ ถ้ามีการกระทำแบบนี้ มันต้องมีคุณธรรมอย่างที่ว่านี่ไง พุทธศาสนาขับเคลื่อนไปโดยภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ที่มีการประพฤติปฏิบัติ ภิกษุสงฆ์ได้บวชใจของตนเองแล้ว บวชใจของตนเองด้วยมรรคด้วยผล บวชใจของตนเองด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ
ถ้าบวชขึ้นมาได้แล้วนะ จบ จบที่ไหน จบที่มันไม่มีการไปและไม่มีการมาแล้ว มันไม่ไปไหนอีกแล้ว ถ้ามันไม่ไปไหนอีกแล้ว มันจะมีอะไรมีคุณค่าไปมากกว่านั้น ถ้าไม่มีอะไรมีคุณค่าไปมากกว่านั้น แล้วดูสิ เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม เวลาเขาเห็นว่าเหมือนตาสีตาสาออกทำไร่ไถนา ออกทำไร่ไถนาก็ไถหัวใจของตนไง สังคมเขามองด้วยชายตาเลย ไร้สาระ พระไม่มีความหมาย ก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ก็ช่วงแสวงหา ช่วงการกระทำก็เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาออกมาแล้วเห็นไหม ๖ ปี ท่านบุกบั่นอยู่ขนาดไหน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ดูสิ จนใครๆ เขาต่อต้าน เขาต่อต้านขนาดไหน เพราะมีแรงยุ เสียงยั่วยุ แรงยุแรงแหย่มันมีทุกที่ แล้วมันก็อยู่ที่วาสนาของคน วาสนาของคน ไปอยู่ที่ไหนมีแรงยุแรงแหย่ในการกระทำ เรื่องของเขา
หน้าที่ของเราเห็นไหม เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติ พยายามแสวงหา พยายามเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ที่ไหนเรามีโอกาส เราทำของเราๆ เราจะบวชหัวใจของเราไง แล้วหัวใจของเราเวลาเราบวชแล้ว เวลาจุดไฟมันติดแล้ว เราพยายามจะรักษาไฟนั้นไม่ให้มันมอด รักษาไฟไม่ให้มันมอดการกระทำให้มันดีขึ้นไง ถ้าเราปล่อยมันไว้มันมอดมันดับหมด พอมันดับหมด ฝนตกขึ้นมาอีก เวลาจุดไฟจุดไม่ติดเลย เวลาภาวนาๆ ล้มลุกคลุกคลานแล้วแหยงเลย ไม่อยากทำต่ออีกแล้ว มันทุกข์มันยากขนาดนี้เหรอชีวิต ถ้ามันทุกข์มันยากขนาดนี้เหรอชีวิต ก็ดูทางโลกเขาสิ เวลาเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เวลาเขาทุกข์เขายากขึ้นมามันจนตรอกนะ จนตรอกถึงได้ฆ่าตัวตายกัน ไอ้คนที่ว่ารุ่งเรืองเชิดชูนั้น ไอ้นั่นก็ผลของวัฏฏะ เขาก็อยู่ในวัฏฏะนั้น เขาไม่พ้นไปหรอก
ไอ้ของเรา เห็นไหม เราเห็น ทางทฤษฎีเราเห็นอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันไม่มีทางจบทางสิ้น ถ้าอยู่อย่างนั้นแล้วจะดีขนาดไหนมันก็ดีด้วยอามิส จะชั่วขนาดไหนก็ชั่วเพราะสร้างเวรสร้างกรรม มันต้องหมุนไปตามอำนาจของกรรมอยู่แล้ว เราถึงได้สละออกมา มาอยู่ในสังคมของสงฆ์ สังคมของผู้มีศีล สังคมของผู้ที่นักรบ เวลารบไปก็รบกับกิเลสของตน เวลาปฏิบัติแล้วไปรบก็รบกับกิเลสในหัวใจของตนเองเท่านั้น ไม่เหมือนทางโลกเขา ทางโลกเขามีปัญหาสังคม ปัญหาของตลาด ตลาดที่มันเชิดชูมันจะเป็นประโยชน์ของมันเห็นไหม นั่นเขาเป็นปัญหาของสังคม
แต่ปัญหาของเรา เราบวชเป็นสงฆ์แล้ว แล้วอยู่ในสงฆ์ นี่เป็นสังคมของสงฆ์ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเป็นเรื่องส่วนตัว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง ในหัวใจของตน ตนคือผู้กระทำไง ในใจของเราเท่านั้นไง ถ้าในใจของเราเห็นไหม เราอยู่ด้วยความเป็นสงฆ์เห็นไหม เป็นสงฆ์เพราะเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าวางโอกาสไว้ให้ วางโอกาสว่าเป็นนักรบไง ภิกษุสงฆ์ไง ผู้ที่เผชิญกับกิเลสไง เผชิญกับกิเลสเห็นไหม เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ก็เพียงแต่ว่าพอยังชีพ ไม่ต้องให้มันเป็นความพะรุงพะรังแบบโลกเขา โลกเขาก็ต้องมีอาชีพหน้าที่การงานของเขา เพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีพของเขา
ไอ้ของเราเห็นไหม ด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อของสังคม สังคมในประเทศไทย ในพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ เขาต้องตักบาตรทำบุญของเขา เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งนี้เราเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีวิตทำไม เลี้ยงชีวิตไว้ประพฤติปฏิบัติไง ประพฤติปฏิบัติแล้ว เวลาทางโลกเขา เขาต้องมีการศึกษาเล่าเรียน เป็นวัดบ้าน วัดเล่าเรียน เรียนไว้เพื่อมีความรู้ของเขา ความรู้ของเขามันก็มีกิเลสของเราแทรกแซงขึ้นมาเห็นไหม แต่ของเราเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นกิเลสขึ้นมาแล้วมันลงสมาธิไม่ได้ ถ้าเป็นกิเลสขึ้นมาแล้วมันจะสงบระงับไม่ได้ ถ้าเป็นกิเลสขึ้นมาแล้ว เราจะนั่งอยู่นิ่งๆ มันอยู่ไม่ได้ มันต้องแส่ส่ายไปแบบโลกเขา แส่ส่ายไปทางโลก แส่ส่ายไปทั้งวันมันก็ไปเป็นตลาดไง แต่ของเราเป็นธรรมๆ ขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันจะสละทางนั้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่มีนักการศึกษาๆ ท่องจำมาให้เป็นแนวทางปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมากิเลสมันก็ยุก็แหย่ กิเลสมันก็พลิกปลิ้นปล้อนทั้งนั้น มันเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ถ้าเป็นจริงๆ เราก็ทำขึ้นมาไง นี่พูดถึงเราบวชมาเพื่อปฏิบัติ เราบวชมาเพื่อเป็นนักรบ จะรบกับกิเลสของตน ถ้ารบกับกิเลสของตน นี่ไง ต่อสู้กับมัน
บวชพระ หลวงปู่มั่นท่านบวชพระแล้วท่านยังวิตกกังวลว่าท่านไม่ได้เป็นพระ ก็ทำทัฬหีกรรม ทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำก็จบ ก็เป็นพระจริงๆ ทำให้ถูกต้องตามธรรมวินัยมันก็เป็นพระ ปฏิบัติ ปฏิบัติขึ้นมาให้มีมรรคมีผลขึ้นมา เวลาปฏิบัติก็มาล้มลุกคลุกคลานผิดพลาดต่างๆ ธรรมดา มันเรื่องกิเลสอยู่แล้ว กิเลสมันต้องปลิ้นปล้อนอยู่แล้ว หน้าที่ของมันคือทำลายทั้งนั้น ทำลายความดี ทำลายความตั้งใจ ทำลายโอกาส ทำลายทั้งนั้น แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา เราพยายามตรวจสอบ เห็นไหม สติปัญญาพยายามแยกแยะ อะไรผิดอะไรถูกพยายามแยกแยะ สิ่งที่ไม่ดีคัดออก สิ่งที่ดีพยายามทำให้มันเจริญก้าวหน้า ทำของเราให้มากขึ้นๆ ไป หน้าที่ของเรา
มันไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะดีไปหมด เพราะเราเกิดมาจากอวิชชา เราเกิดมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะกิเลสตัณหามันมีอยู่แล้ว แต่เรามีหัวใจ เรามีจิตเดิมแท้ มันมีอวิชชาครอบงำ มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ด้วยการสร้างสม การสร้างสมคุณงามความดีมันถึงได้บวชเป็นพระ ถึงได้มีมุมมองอยากแยกออกมาจากโลก อยากแยกออกเป็นนักรบ อยากมีโอกาสปฏิบัติ มีโอกาสปฏิบัติแล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะคอยคุ้มครอง มีหัวรถจักรคอยชักนำ เราพยายามของเราๆ หน้าที่ของเราไง เราจะบวชพระเป็นพระจริงๆ บวชพระแล้วให้ได้เป็นพระ บวชมาแล้ว หลวงปู่มั่นบวชแล้วไม่เป็นพระ ทำทัฬหีกรรม แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติจนท่านเป็นพระ
เราบวชมาแล้ว เราจะบวชมาเป็นพระหรือว่าเราบวชเป็นสมมติสงฆ์ บวชมาเป็นแค่สมมติ เป็นของชั่วคราว ถ้าบวชเป็นจริงๆ ขึ้นมา บวชให้เป็นพระขึ้นมา เป็นอกุปธรรม อยู่ท่ามกลางหัวใจ คุณธรรมอันนี้ไง ที่เราบวชพระๆ มา เพื่อเหตุนี้ไง
นี่ก็เหมือนกัน หนึ่งเดือน เหลืออีกสองเดือน ขวนขวายของเรา ประสบการณ์ของเรา ทำของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วสมบัติของเรา ใครจะมาหยิบฉวยไม่ได้หรอก ของใครของมัน แล้วเป็นปัจจัตตัง สันทิฐิโก กลางหัวใจนั้น แล้วถ้ามันมีอยู่จริงเห็นไหม นี่ไง ที่ว่าสังคมของพุทธศาสนาขับเคลื่อนไปโดยพระภิกษุ พระภิกษุมีคุณธรรม พระภิกษุที่มีสัจจะความจริงในหัวใจมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น มันเป็นประโยชน์กับตนเองก่อน แล้วมันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเห็นไหม ฉะนั้น เรามีหน้าที่การงานของเรา เราจะบวชหัวใจของเรา บวชให้ใจเราเป็นพระ เอวัง